สารบัญ
- บทนำ
- ประวัติยอนซังโฮ
- ภาพยนตร์ 《ขี้เหร่จนแทบเอาชีวิตไม่รอด》
- เรื่องราวและตัวละครสำคัญ
- การสร้างภาพยนตร์แบบประหยัดและมีประสิทธิภาพ
- การปรับตัวในยุคสตรีมมิง
- ภาพรวมและความสำคัญ
- Q&A
บทนำ
ยอนซังโฮ ผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ เคยสร้างปรากฏการณ์ด้วยภาพยนตร์ซอมบี้เรื่อง 《Train to Busan》 ในปี 2016 ทำรายได้ทั่วโลกกว่า 29 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 2.9 พันล้านบาท) สร้างชื่อเสียงระดับสากล KUBET เขายังร่วมงานกับแพลตฟอร์มสตรีมมิง เช่น Netflix ผ่านผลงานซีรีส์ 《Hellbound》, 《Parasyte: Gray Side》 และโปรเจกต์ร่วมเกาหลี-ญี่ปุ่น 《Gas Man No.1》
หัวข้อ | รายละเอียด |
---|---|
ชื่อผู้กำกับ | ยอนซังโฮ |
สัญชาติ | เกาหลีใต้ |
ภาพยนตร์เด่น | 《Train to Busan》 (2016) |
รายได้ภาพยนตร์ | 29 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน (~2.9 พันล้านบาท) |
ผลกระทบ | สร้างชื่อเสียงระดับสากล |
งานร่วมแพลตฟอร์มสตรีมมิง | Netflix |
ซีรีส์เด่นบน Netflix | 《Hellbound》, 《Parasyte: Gray Side》 |
โปรเจกต์ร่วมเกาหลี-ญี่ปุ่น | 《Gas Man No.1》 |
ประวัติยอนซังโฮ
ยอนซังโฮเติบโตจากวงการแอนิเมชัน เริ่มจากผลงาน 《The King of Pigs》 ที่ได้เข้าชิงเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในปี 2011 KUBET ทำให้เขาเป็นผู้กำกับแอนิเมชันเกาหลีคนแรกที่เข้าร่วม “Directors’ Fortnight”
ภาพยนตร์ 《ขี้เหร่จนแทบเอาชีวิตไม่รอด》
ปีล่าสุด ยอนซังโฮกลับมาในโปรเจกต์ขนาดเล็ก 《The Ugly》 หรือ 《ขี้เหร่จนแทบเอาชีวิตไม่รอด》 โดยใช้งบเพียง 2 พันล้านวอนเกาหลี (ประมาณ 4.3 ล้านบาท) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภาพยนตร์อินดี้เกาหลี ทำให้เกิดกระแสสนใจสูง ภาพยนตร์เปิดตัวในเกาหลี 10 วัน ทำรายได้ 170 ล้านบาทไต้หวัน KUBET แสดงให้เห็นว่าคุณภาพและความน่าสนใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับงบประมาณ
เรื่องราวและตัวละครสำคัญ
《ขี้เหร่จนแทบเอาชีวิตไม่รอด》 เล่าเรื่อง หลิน รงกุ่ย (รับบทโดย ฉวน ไฮเซียว) ชายตาบอดแต่เป็นช่างสลักชื่อดัง ขณะให้สัมภาษณ์รายการทีวี บุตรชาย ตงฮวน (รับบทโดย ปาร์ค จองมิน) ได้รับข่าวพบศพแม่ที่หายไป 40 ปี KUBET ทำให้ต้องร่วมกับทีมรายการสืบหาความจริง อีกตัวละครสำคัญคือภรรยาของ หลิน รงกุ่ย เจิ้ง อิงซี (รับบทโดย ชิน ฮยอนบิน) ผู้ไม่ปรากฏใบหน้าในเรื่อง KUBET ตัวละครนี้สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับความยุติธรรมและความสวยงามผ่านมุมมองของผู้อื่น ยอนซังโฮยังให้เหตุผลในการให้ ปาร์ค จองมิน แสดงทั้งบทลูกชายและบทพ่อช่วงวัยหนุ่ม เพื่อสื่อสารความขัดแย้งระหว่างรุ่น KUBET

การสร้างภาพยนตร์แบบประหยัดและมีประสิทธิภาพ
《ขี้เหร่จนแทบเอาชีวิตไม่รอด》ถ่ายทำเพียง 13 ช็อต ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ เทียบกับภาพยนตร์เกาหลีทั่วไปที่ใช้ 60–80 ช็อต นักแสดงและทีมงานหลายคนไม่รับค่าตอบแทน ยอนซังโฮศึกษาเทคนิคจากผู้กำกับชื่อดัง เช่น หยาง เต๋อฉาง และ คุโรซาวะ คิโยชิ เพื่อควบคุมงบและรักษาคุณภาพ ยอนซังโฮระบุว่า การทำงานร่วมกับทีมที่คุ้นเคยให้ความรู้สึกเหมือน ทำงานในชมรมมหาวิทยาลัย และทำให้เขาได้สนุกกับการสร้างสรรค์ KUBET
การปรับตัวในยุคสตรีมมิง
ยอนซังโฮมองว่า การรับชมภาพยนตร์และรสนิยมผู้ชมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การทำหนังงบต่ำเช่นนี้ช่วยให้เขาเรียนรู้การใช้ แนวคิดสร้างสรรค์หลายมิติ เพื่อปรับตัวเข้ากับสภาพตลาดใหม่ เขายังเน้นความแตกต่างระหว่าง ภาพยนตร์อินดี้กับผลงานสตรีมมิง โดยระบุว่า ผลงานสตรีมมิงต้องคำนึงถึงผู้ชมกลุ่มกว้างและกระแสแฟชั่น KUBET ในขณะที่ภาพยนตร์แบบลงทุนเองสามารถเน้น ความคิดสร้างสรรค์และการสื่อสารทางศิลปะ ได้มากกว่า
ภาพรวมและความสำคัญ
《ขี้เหร่จนแทบเอาชีวิตไม่รอด》เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าผลงานคุณภาพสูง ไม่จำเป็นต้องใช้งบมหาศาล และสามารถสร้างกระแสได้ด้วยไอเดียและทีมงานที่เข้าใจวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ KUBET ผลงานนี้ยังแสดงให้เห็นว่า การสร้างสรรค์ต้องปรับตัวให้เข้ากับตลาดและผู้ชมยุคใหม่ และยอนซังโฮสามารถผสานทั้งประสบการณ์จากแอนิเมชัน ภKUBET าพยนตร์ใหญ่ และงานสตรีมมิงเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
Q&A
คำถาม 1: ยอนซังโฮเป็นผู้กำกับชาวประเทศใด และมีผลงานสร้างชื่อเสียงระดับโลกเรื่องใด?
คำตอบ: ยอนซังโฮเป็นผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ และสร้างชื่อเสียงระดับโลกด้วยภาพยนตร์ซอมบี้เรื่อง 《Train to Busan》 ในปี 2016
คำถาม 2: ภาพยนตร์ 《ขี้เหร่จนแทบเอาชีวิตไม่รอด》 ใช้งบประมาณเท่าไหร่ และสามารถทำรายได้เท่าใดใน 10 วันแรกที่เกาหลี?
คำตอบ: ใช้งบประมาณเพียง 2 พันล้านวอนเกาหลี (ประมาณ 4.3 ล้านบาท) และทำรายได้ 170 ล้านบาทไต้หวันใน 10 วันแรก
คำถาม 3: ตัวละครหลักใน 《ขี้เหร่จนแทบเอาชีวิตไม่รอด》 ได้แก่ใคร และเรื่องราวคร่าว ๆ เป็นอย่างไร?
คำตอบ: ตัวละครหลักคือ หลิน รงกุ่ย (รับบทโดย ฉวน ไฮเซียว) ชายตาบอดและช่างสลักชื่อดัง กับลูกชาย ตงฮวน (รับบทโดย ปาร์ค จองมิน) เรื่องราวเกี่ยวกับการค้นหาความจริงเกี่ยวกับศพแม่ที่หายไป 40 ปี
คำถาม 4: ยอนซังโฮใช้เทคนิคพิเศษอย่างไรเพื่อควบคุมงบและสร้างภาพยนตร์คุณภาพสูง?
คำตอบ: เขาถ่ายทำเพียง 13 ช็อต ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ นักแสดงและทีมงานหลายคนไม่รับค่าตอบแทน และศึกษาเทคนิคจากผู้กำกับชื่อดังเพื่อควบคุมงบและรักษาคุณภาพ
คำถาม 5: ยอนซังโฮมองความแตกต่างระหว่างภาพยนตร์อินดี้กับผลงานสตรีมมิงอย่างไร?
คำตอบ: ผลงานสตรีมมิงต้องคำนึงถึงผู้ชมกลุ่มกว้างและกระแสแฟชั่น ขณะที่ภาพยนตร์ลงทุนเองสามารถเน้นความคิดสร้างสรรค์และการสื่อสารทางศิลปะได้มากกว่า
เนื้อหาที่น่าสนใจ: